วันอังคารที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2560

ใบงานที่ 1

 ใบงานที่ 1 ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์
ผ้จัดทำ นาย.ปัณณรุจน์ อมรสิทธิ์สิริ 
รหัส 6031280004

1.ระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอร์คือ
ระบบปฏิบัติการ ( OS – Operating System )
เป็นซอฟต์แวร์ที่เอาไว้ใช้สำหรับควบคุมและประสานงานระหว่างอุปกรณ์ภายในคอมพิวเตอร์ทั้งหมด ตั้งแต่ซีพียู หน่วยความจำ ไปจนถึงส่วนนำเข้าและส่งออกผลลัพธ์ ( input/output device ) บางครั้งก็นิยมเรียกรวม ๆ ว่า แพลตฟอร์ม (platform ) คอมพิวเตอร์จะทำงานได้จำเป็นต้องมีระบบปฏิบัติการติดตั้งอยู่ในเครื่องเสียก่อน ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับบริษัทผู้ผลิตเครื่องนั้น ๆ ว่าจะเลือกใช้แพลตฟอร์ม หรือระบบปฏิบัติการอะไรในการทำงาน เราจะพบเห็นระบบปฏิบัติการอยู่ในคอมพิวเตอร์แทบจะทุกประเภทตั้งแต่เครื่องขนาดใหญ่อย่างเครื่องเมนเฟรมจนถึงระดับเล็กสุด เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์พกพาประเภทพีดีเอ
 ความหมายของระบบปฏิบัติการ
          โปรแกรมระบบปฏิบัติการ หรือเรียกสั้น ๆ ว่า  OS (Operating System)  เป็นโปรแกรม ควบคุมการทํางานของเครื่องคอมพิวเตอร์ ทําหน้าที่ควบคุมการทำงานต่าง ๆ เช่น การแสดงผล ข้อมูลการติดต่อกับผู้ใช้ โดยทําหน้าที่เป็นสื่อกลาง ระหว่างผู้ใช้กับเครื่องให้สามารถสื่อสารกันได้ควบคุมและจัดสรรทรัพยากรให้กับโปรแกรมต่าง ๆ
2.ระบบปฏิบัติการคอมพวิเตอร์ทำงานอย่างไร
ระบบปฏิบัติการโดยทั่วไปจะมีคุณสมบัติในการทำงานแบบต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
การทำงานแบบ Multi – Tasking คือ ความสามารถในการทำงานได้หลาย ๆ งาน หรือหลาย ๆ โปรแกรมในเวลาเดียวกัน เช่น พิมพ์รายงานควบคู่ไปกับการท่องเว็บ ซึ่งในสมัยก่อนการทำงานของระบบปฏิบัติการจะอยู่ในรูปแบบที่เรียกว่า single-tasking ซึ่งจะทำงานทีละโปรแกรมคำสั่ง ผู้ใช้ไม่สามารถที่จะสลับงานไประหว่างโปรแกรมหรือทำงานควบคู่กันได้ แต่สำหรับในปัจจุบันจะพบเห็นลักษณะการทำงานแบบนี้มากขึ้น เช่น ในระบบปฏิบัติการ Windows รุ่มใหม่ ๆ ซึ่งทำให้การใช้งานได้สะดวกและทำงานได้หลาย ๆ โปรแกรม

 การทำงานแบบ Multi – Tasking

 การทำงานแบบ Multi – User ในระบบการเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์เข้าไว้ด้วยกันแบบเครือข่าย ระบบปฏิบัติการที่ทำหน้าที่ควบคุมจะมีคุณสมบัติอย่างหนึ่งที่เรียกว่า multi-user หรือความสามารถในการทำงานกับผู้ใช้ได้หลาย ๆ คน ขณะที่มีการประมวลผลของงานพร้อม ๆ กัน ทำให้กระจายการใช้ได้ทั่วถึงมากยิ่งขึ้น
 

การทำงานแบบ Multi – User
3.ระบบปฏิบัติการคอมพิวเตอน์ทำงานอะไรบ้าง
 1. ติดต่อกับผู้ใช้ (User  Interface)
             คือ  ผู้ที่ใช้สามารถที่จะติดต่อหรือควบคุมการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์ผ่านทางด้านระบบปฏิบัติการ  โดยที่ระบบปฏิบัติการนั้นจะส่งข้อความตอบโต้ไปยังผู้ใช้เพื่อที่จะให้ผู้ใช้ป้อนคำสั่งหรือสั่งการด้วยอุปกรณ์รับข้อมูลต่างๆ ที่มีอยู่  ในขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างโปรมแกรมประยุกต์ต่างๆ   เพื่อติดต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์ขณะที่เราใช้งานด้วย
2. ควบคุมดูแลอุปกรณ์และการทำงานของเครื่องคอมพิวเตอร์
             เนื่องจากผู้ใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ผ่านทางระบบปฏิบัติการ อาจไม่จำเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจถึงหลักการทำงานภายในเครื่องคอมพิวเตอร์  ดังนั้นระบบปฏิบัติการจึงต้องมีหน้าที่ควบคุมดูแลการทำงานของอุปกรณ์ต่างๆ  เพื่อให้การทำงานของระบบเป็นไปได้อย่างถูกต้อง  และสอดคล้อง 
3. จัดสรรทรัพยากรต่าง ๆ  ในระบบ
              ทรัพยากร  (Resource)  คือ  สิ่งที่ถูกใช้ไปเพื่อให้โปรแกรมดำเนินต่อไปได้  เช่น  หน่วยประมวลผล  (CPU)  หน่วยความจำ  (Memory)  อุปกรณ์รับและแสดงผลข้อมูล  (Input/Output)
 ดังนั้น  ระบบปฏิบัติการจะต้องจัดสรรทรัพยากรเหล่านี้เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด  ถ้าระบบปฏิบัติการสามารถจักสรรทรัพยากรให้มีประสิทธิภาพแล้ว  การทำงานของโปรแกรมต่าง ๆ  ก็สามารถทำให้ได้รวดเร็ว  และได้ปริมาณงานเพิ่มขึ้นด้วย
4.จงยกตัวอย่างระบบปฏิบัติการคอมวิเตอร์มา 3 ตัวอย่าง
1. ระบบปฏิบัติการแบบเดี่ยว ( stand – alone OS )  
 เป็นระบบปฏิบัติการที่มุ่งเน้นและให้บริการสำหรับผู้ใช้เพียงคนเดียว (เจ้าของเครื่องนั้น ๆ) นิยมใช้สำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ประมวลผลและทำงานแบบทั่วไป เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์ตามบ้านหรือสำนักงาน ซึ่งจะถูกติดตั้งระบบปฏิบัติการนี้รองรับการทำงานบางอย่าง เช่น พิมพ์รายงาน ดูหนัง ฟังเพลง หรือเชื่อมต่อเข้ากับอินเทอร์เน็ต เป็นต้น ปัจจุบันพัฒนาให้มีคุณสมบัติที่เป็นลูกข่ายเพื่อขอรับบริการจากเครื่องแม่ข่ายได้ด้วย
DOS (Disk Operating System) เป็นระบบปฏิบัติการซึ่งได้มีการพัฒนาขึ้นเมื่อประมาณปี 1980 เพื่อใช้สำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลเป็นหลัก ทำงานโดยใช้การป้อนชุดคำสั่งที่เรียกว่า command- line ซึ่งต้องป้อนข้อมูลทีละบรรทัดเพื่อให้เครื่องทำงานตามคำสั่งนั้น ๆ ได้ ผลิตขึ้นมาครั้งแรกมีชื่อเรียกว่า PC-DOS เพื่อใช้กับเครื่องของบริษัทไอบีเอ็ม ภายหลังเมื่อคอมพิวเตอร์ได้รับความนิยมมากขึ้นจนเกิดเครื่องที่ผลิตขึ้นมาเลียนแบบอย่างมากมายคล้ายกับเครื่องของไอบีเอ็ม (IBM compatible ) บริษัทไมโครซอฟต์ซึ่งมีทีมงานที่เคยผลิต PC-DOS ให้กับไอบีเอ็มมาก่อนจึงได้ทำระบบปฏิบัติการแบบใหม่ออกมาเป็นของตนเองและเรียกชื่อใหม่ภายหลังว่า MS-DOS นั่นเอง
ผู้พัฒนา DOS
  • ค.ศ. 1978 บริษัทอินเทลได้เริ่มผลิตไมโครโปรเซสเซอร์เบอร์ 8086 และ 8088
  • ค.ศ. 1980 ซีแอตเติลคอมพิวเตอร์ ออก QDOS หรือ Quick and Dirty Operating System
  • ปลายปี ค.ศ. 1980 QDOS ก็ได้พัฒนาไปจนถึงเวอร์ชั่น 0.3 โดยเปลี่ยนชื่อเป็น 86–DOS
  • ค.ศ. 1981  ซีแอตเติลคอมพิวเตอร์ ก็ได้ออก 86- DOS เวอร์ชัน 1.00
  • ค.ศ. 1981 ไมโครซอฟต์ได้ซื้อลิขสิทธิ์ของ 86-DOS จากซีแอตเติลคอมพิวเตอร์ และเปลี่ยนชื่อเป็น Microsoft DOS หรือ MS-DOS

ระบบปฏิบัติการ DOS

 Windows การทำงานที่ต้องคอยป้อนคำสั่งทีละบรรทัดเพื่อเรียกทำงานในระบบปฏิบัติการแบบ DOS นั้น สำหรับผู้ใช้ที่ไม่มีความรู้และความชำนาญเพียงพอ มักจะจดจำรูปแบบคำสั่งต่าง ๆ ในการใช้งานได้ไม่ค่อยดีนัก บริษัทไมโครซอฟต์จึงได้นำเอาแนวคิดของระบบการใช้งานที่เรียกว่า GUI (Graphical User Interface) ซึ่งมีผู้คิดค้นขึ้นก่อนหน้านั้นไม่นานนักมาใช้ในระบบปฏิบัติการตัวใหม่ที่มีชื่อว่า Windows เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว ส่งผลให้ผู้ใช้และระบบปฏิบัติการสามารถทำงานงานร่วมกันได้คล่องตัวมากยิ่งขึ้น เพราะเป็นการนำเอารูปแบบของสัญลักษณ์ที่เป็นภาพกราฟิกเข้ามาแทนการป้อนข้อมูลคำสั่งทีละบรรทัดโดยที่ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องจดจำคำสั่งต่าง ๆ ก็สามารถใช้งานได้โดยง่าย

Windows ใช้หลักการแบ่งงานออกเป็นส่วน ๆ ที่เรียกว่า หน้าต่างงาน (windows) ซึ่งจะแสดงผลลัพธ์ของแต่ละโปรแกรม ปัจจุบันได้รับความนิยมในการใช้งานอย่างแพร่หลายและมีการผลิตและจำหน่ายออกมาหลายๆ รุ่นด้วยกันWindows XP เป็นเวอร์ชันล่าสุดที่ได้มีการพัฒนาและจำหน่ายไปยังทั่วโลก (เวอร์ชันต่อไปที่คาดว่าจะผลิตออกมามีชื่อรหัสว่า Longhorn คาดว่าจะมีการวางจำหน่ายประมาณปี 2006 - 2007)

 ระบบปฏิบัติการ Windows Longhorn

Linux เป็นระบบปฏิบัติการที่ได้รับความนิยมมากเช่นเดียวกัน เนื่องจากเปิด ให้ใช้รวมถึงพัฒนาต่อยอดเพื่อแก้ไขชุดคำสั่งต่าง ๆ ได้ฟรี ในปัจจุบันหลาย ๆ ประเทศได้พยายามส่งเสริมให้มีการใช้ระบบปฏิบัติการตัวนี้อย่างต่อเนื่องเพื่อลดปัญหาการขาดดุลการค้า เนื่องจากการนำเข้าซอฟต์แวร์จากต่างประเทศ (ระบบปฏิบัติการเป็นสินค้าประเภทหนึ่งที่สามารถผลิตขึ้นมาเพื่อจำหน่ายได้ทั่วโลกเช่นเดียวกับสินค้าประเภทอื่น ๆ ซึ่งหากความต้องการในประเทศมีมาก อาจจำเป็นต้องสั่งเข้าในปริมาณที่มากตามไปด้วย) รวมทั้งเพื่อลดปัญหาในประเด็นของความมั่นคงที่จะไม่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีของต่างประเทศ อันได้แก่สหรัฐอเมริกาด้วย
ระบบ Linux พัฒนาโดยอาศัยต้นแบบการใช้งานของระบบ Unix และใช้โค้ดที่เขียนและเผยแพร่ในแบบโอเพ่นซอร์ส (open source ) ที่เปิดเผยโปรแกรมต้นฉบับให้ผู้ใช้สามารถจะพัฒนาและแก้ไขระบบต่าง ๆ ได้เองตามที่ต้องการ มีการผลิตออกมาหลายชื่อเรียกแตกต่างกันออกไป สำหรับประเทศไทยเราก็ได้มีการพัฒนา Linux ออกมาใช้บ้างแล้ว เช่น Linux TLE ของศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (National Electronics and Computer Technology Center ) หรือ NECTEC (อ่านว่า “ เนค - เทค” ) เป็นต้น Linux มีทั้งแบบที่ใช้สำหรับงานบนเครื่องสำหรับผู้ใช้คนเดียว และแบบที่ใช้สำหรับงานควบคุมเครือข่ายเช่นเดียวกันกับระบบปฏิบัติการแบบ Unix

 ระบบปฏิบัติการ Linux
 Mac OS X เป็นระบบปฏิบัติการที่สร้างขึ้นเพื่อใช้งานเฉพาะเครื่องคอมพิวเตอร์ของบริษัทแอปเปิ้ลโดยเฉพาะเท่านั้น ซึ่งเน้นการใช้งานประเภทสิ่งพิมพ์ กราฟิก และศิลปะเป็นหลัก รุ่นก่อนหน้านี้จนถึง Mac OS 9 เป็นระบบปฏิบัติการแบบเฉพาะตัวที่ไม่เหมือนใคร แต่รุ่น OS X (X คือเลข 10 แบบโรมัน) ได้รับการพัฒนามาจากระบบปฏิบัติการแบบ UNIX แต่ก็ยังเป็นแบบเฉพาะตัวอยู่ คือเครื่องของบริษัทอื่นหรือที่ประกอบขึ้นมาเองไม่สามารถที่จะใช้ระบบปฏิบัติการตัวนี้ได้ เนื่องจากใช้ระบบการประมวลผลที่ไม่เหมือนกัน ทั้งนี้รูปแบบและการทำงานต่าง ๆ ของ Mac OS X จะมีระบบสนับสนุนแบบ GUI เช่นเดียวกันกับระบบปฏิบัติการ Windows (และความจริงใช้มาก่อน Windows เสียด้วยซ้ำ)

 ระบบปฏิบัติการ OS X

 Unix เป็นระบบปฏิบัติการที่มักใช้กับผู้ที่มีความรู้ทางด้านคอมพิวเตอร์ค่อนข้างมาก รองรับกับการทำงานของผู้ใช้ได้หลาย ๆ คนพร้อมกัน ( multi-user ) การปรับเปลี่ยนและแก้ไขระบบต่าง ๆ มีความยืดหยุ่นในการทำงานได้ดีกว่า ปัจจุบันมีการพัฒนาระบบที่สนับสนุนให้ใช้งานได้ทั้งแบบเดี่ยวและแบบเครือข่าย
 ระบบปฏิบัติการ UNIX

ระบบปฏิบัติการแบบเครือข่าย ( network OS )
เป็นระบบปฏิบัติการที่มุ่งเน้นและให้บริการสำหรับผู้ใช้หลาย ๆ คน ( multi – user ) นิยมใช้สำหรับงานให้บริการและประมวลผลข้อมูลสำหรับเครือข่ายโดยเฉพาะ มักพบเห็นได้กับการนำไปใช้ในองค์กรธุรกิจทั่วไป เครื่องคอมพิวเตอร์ที่ติดตั้งระบบปฏิบัติการเหล่านี้เรียกว่า เครื่อง server ซึ่งเป็นเสมือนเครื่องแม่ข่ายที่ให้บริการข้อมูลต่าง ๆ ที่จำเป็นสำหรับผู้ใช้นั่นเอง
Windows Server เป็นระบบปฏิบัติการที่ออกแบบมาเพื่อใช้งานกับระบบเครือข่ายโดยเฉพาะ รุ่นแรกออกมาในชื่อ Windows NT และพัฒนาต่อมาเป็น Windows 2000 และรุ่นล่าสุดคือ Windows Server 2003 ผลิตออกมาเพื่อรองรับกับการใช้งานในระดับองค์กรขนาดเล็กและขนาดกลาง พัฒนาโดยบริษัทไมโครซอฟต์ ส่วนใหญ่เหมาะกับการติดตั้งและใช้งานกับเครื่องประเภทแม่ข่าย (Server )

 ระบบปฏิบัติการ Windows Server

 OS/2 Warp Server เป็นระบบปฏิบัติการเครือข่ายอีกรูปแบบหนึ่ง ออกแบบมาสำหรับการใช้งานคอมพิวเตอร์แบบเครือข่ายสำหรับองค์กรได้เป็นอย่างดี พัฒนาโดยบริษัทไอบีเอ็มเพื่อใช้เป็นระบบที่ควบคุมเครื่องแม่ข่ายหรือ Server เช่นเดียวกัน แต่ไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่หวัง และเลิกพัฒนาต่อไปแล้ว

ระบบปฏิบัติการ OS/2 Warp Server

 Solaris เป็นระบบปฏิบัติการเครือข่ายที่อยู่ในตระกูลเดียวกับระบบปฏิบัติการ Unix (Unix compatible) พัฒนาขึ้นโดยบริษัทซัน ไมโครซิสเต็มส์ สามารถรองรับการทำงานแบบเครือข่ายได้เช่นเดียวกับระบบอื่น
 ระบบปฏิบัติการ Solaris

3.  ระบบปฏิบัติการแบบฝัง ( embedded OS )
เป็นระบบปฏิบัติการที่พบเห็นได้ในอุปกรณ์คอมพิวเตอร์พกพาขนาดเล็ก เช่น พีดีเอหรือ Smart phone บางรุ่น สามารถช่วยในการทำงานของอุปกรณ์แบบไม่ประจำที่เหล่านี้ได้เป็นอย่างดี เกิดขึ้นมาหลังสุดพร้อม ๆ กับที่อุปกรณ์คอมพิวเตอร์พกพาเหล่านี้ได้รับความนิยมมากขึ้น บางระบบมีคุณสมบัติที่ใกล้เคียงกับระบบปฏิบัติการแบบเดี่ยวด้วย เช่น รองรับกับการทำงานทั่วไป ดูหนัง ฟังเพลงหรือเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้
ระบบปฏิบัติการแบบฝัง ( Embedded OS ) เรามักจะพบเห็นการใช้งานของระบบปฏิบัติการแบบฝังนี้กับอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ขนาดพกพา เช่น Palm, pocket PC, Smart phone รวมถึงอุปกรณ์ขนาดเล็กอื่น ๆ ซึ่งพอจะยกตัวอย่างได้ดังนี้
 Pocket PC OS (Windows CE เดิม) บริษัทไมโครซอฟต์ ผู้ผลิตระบบปฏิบัติการยักษ์ใหญ่ที่มีความชำนาญจากการสร้างระบบที่ใช้สำหรับเครื่องพีซีมาก่อน ได้หันมาเน้นการผลิตเพื่อใช้งานร่วมกับการควบคุมในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ขนาดเล็กมากยิ่งขึ้น โดยสร้างระบบปฏิบัติการตัวใหม่ที่มีชื่อเรียกว่า Pocket PC OS (เดิมใช้ชื่อว่า Windows CE หรือ Windows Consumer Electronics แต่มีการตั้งชื่อใหม่นี้ในภายหลังซึ่งเริ่มตั้งแต่เวอร์ชัน 3.0 ขึ้นไป เพื่อให้ชื่อของระบบปฏิบัติการตัวดังกล่าวเหมือนกับชื่อของเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กไปเลย)

 ระบบปฏิบัติการ Pocket PC ที่ติดตั้งไว้ในเครื่อง Pocket PC และโทรศัพท์มือถือบางรุ่น

 การทำงานของระบบปฏิบัติการดังกล่าว เป็นลักษณะที่ย่อขนาดการทำงานของ Windows ให้มีขนาดเล็กลงและกะทัดรัดต่อการใช้งานมากขึ้น (scaled-down version ) สามารถรองรับการทำงานแบบ multi-tasking ได้เช่นเดียวกันกับ OS ตัวอื่น ๆ เช่น ท่องเว็บหรือค้นหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ตไปได้พร้อม ๆ กับการฟังเพลงหรือตรวจเช็คอีเมล์ได้พร้อม ๆ กับการสร้างบันทึกช่วยจำ เป็นต้น ผู้ใช้ที่คุ้นเคยกับระบบปฏิบัติการของ Windows มาก่อนจะใช้งานได้ง่ายและสะดวกมาก เนื่องจากรูปแบบและหน้าต่างการทำงานจะคล้าย ๆ กัน ปัจจุบันอาจพบเห็นในโทรศัพท์มือถือประเภท Smart phone บางรุ่นบ้างแล้ว
 Palm OS เป็นระบบปฏิบัติการที่ถือได้ว่าเกิดขึ้นมาพร้อม ๆ กันกับการนำเอาคอมพิวเตอร์แบบพกพามาใช้ในยุคแรก ๆ เรียกกันว่าเครื่อง Palm ( ผลิตขึ้นโดยบริษัทปาล์ม) ซึ่งได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในเวลาต่อมา เป็นระบบที่พัฒนาขึ้นมาก่อน Windows CE หรือ Pocket PC OS ของไมโครซอฟต์ (เนื่องจากมีการผลิตเครื่องขึ้นมาใช้งานก่อนนั่นเอง) ปัจจุบันอาจพบเห็นการนำเอาระบบนี้ไปใช้กับคอมพิวเตอร์แบบพกพาของค่ายบริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์เทคโนโลยีชั้นนำ นอกเหนือจากเครื่องของบริษัทปาล์มด้วย เช่น Visor (ของค่ายแฮนด์สปริงซึ่งปัจจุบันรวมกิจการเข้ากับบริษัทปาล์มไปแล้ว) และ CLIE (ของค่ายโซนี่ที่ยุติการผลิตไปแล้ว) ซึ่งก็ใช้ระบบปฏิบัติการแบบนี้ด้วยเช่นกัน
 ระบบปฏิบัติการ Palm OS ที่ติดตั้งในเครื่องประเภท Palm

 Symbian OS เป็นระบบปฏิบัติการที่ออกแบบมาเพื่อรองรับกับเทคโนโลยีการสื่อสารแบบไร้สาย (wireless ) โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับโทรศัพท์มือถือประเภท Smart phone นอกจากนั้นยังสนับสนุนการทำงานแบบหลาย ๆ งานในเวลาเดียวกันได้ด้วย (multi-tasking ) ซึ่งทำให้โทรศัพท์มือถือมีความสามารถที่นอกเหนือจากแค่รับสายพูดคุยในแบบทั่วไปเพียงอย่างเดียว เช่น การบันทึกการนัดหมาย ท่องเว็บ ล่งและรับอีเมล์รวมถึงรับแฟกซ์ได้ในเวลาเดียวกัน ผลิตโดย บริษัทซิมเบียน ซึ่งเป็นบริษัทที่ร่วมทุนระหว่างผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือรายใหญ่หลายค่าย นำโดย Nokia และ Sony ปัจจุบันมีบริษัทยักษ์ใหญ่ต่าง ๆ ได้เอา OS ชนิดนี้ไปใช้งานแล้วในโทรศัพท์มือถือของตน เช่น Sony Ericsson, Motorola, Nokia และ Samsung เป็นต้น
 
 ระบบปฏิบัติการ Symbian OS ในโทรศัพท์มือถือยี่ห้อ Nokia
ระบบปฏิบัติการ GNU
โครงงาน GNU คืออะไร?
โครงงาน GNU เริ่มต้นขึ้นในปี 1984 เพื่อพัฒนาระบบปฏิบัติการ Unix ให้เป็น Free Software: ระบบ GNU ซึ่งความแตกต่างของระบบปฏิบัติการ GNU จะใช้ Kernel ที่เรียกว่า Linux ซึ่งมีการใช้อย่างกันอย่างแพร่หลาย ระบบนี้มักจะถูกเรียกว่า“Linux” ซึ่งถ้าจะเรียกให้ถูกต้องแล้ว ควรจะเรียกว่า ระบบกนู/ลินุกซ์ ( GNU/Linux systems )
GNU ย่อมาจาก “GNU’s Not Unix” ออกเสียงว่า guh-noo หรือเกือบจะเหมือน canoe
Free Software คืออะไร?
Free Software นั้นเป็นเรื่องของเสรีภาพ ไม่ใช่เรื่องของราคา เพื่อให้เข้าใจคอนเซปต์มากยิ่งขึ้น คุณควรจะนึกถึงเสรีภาพ หรืออิสรภาพในการพูด ไม่ใช่เบียร์ฟรี
Free Software นั้นเป็นเรื่องของเสรีภาพที่จะ run , copy , แจกจ่าย , ศึกษา , เปลี่ยนแปลงและพัฒนาซอฟแวร์ให้ดีขึ้น ถ้าจะพูดให้ชัดก็คือ มันเน้นถึงเสรีภาพที่ผู้ใช้ซอฟแวร์จะได้รับ 4 อย่างด้วยกัน คือ
1.อิสระที่จะ run program เพื่อจุดประสงค์อะไรก็ได้
2.อิสระที่จะเรียนรู้วิธีการทำงานของโปรแกรม และปรับเปลี่ยนมันให้เป็นไปตามอย่างที่คุณต้องการ โดยที่ให้ใส่ Access ให้กับ source code ก่อนถึงจะเปลี่ยนแปลงได้
3.อิสระที่จะแจกจ่าย copy เพื่อให้คุณสามารถช่วยเหลือเพื่อนของคุณได้
4.อิสระที่จะพัฒนาโปรแกรม และนำสิ่งที่คุณพัฒนาออกสู่สายตาประชาชน เพื่อที่จะให้สังคมได้รับประโยชน์จากโปรแกรมที่คุณพัฒนา และแน่นอนว่าต้องเข้าไปใส่ Access ให้กับ source code ก่อนถึงจะพัฒนาโปรแกรมได้
มูลนิธิฟรีซอฟแวร์ คืออะไร?
มูลนิธิฟรีซอฟแวร์ (FSF) คือ ผู้นำองค์กรที่ให้ความสนับสนุนโครงงาน GNU ซึ่งตอนนี้ FSF ได้รับเงินทุนสนับสนุนจากบริษัทหรือมูลนิธิต่างๆน้อยมาก แต่จะอาศัยการสนับสนุนจากบุคคลอย่างคุณ
การช่วยเหลือ FSF ทำได้โดยการเป็นสมาชิกของ FSF, การซื้อหนังสือคู่มือ, การบริจาคเงินสนับสนุน หรือโดยการใช้ฟรีซอฟแวร์ในธุรกิจของคุณ เพื่อเป็นการสนับสนุน FSF ได้
โครงงาน GNU จะช่วยสนับสนุนภารกิจของ FSF โดยการป้องกัน รักษา และโฆษณาความเป็นอิสระในการใช้, การเรียน, ก๊อปปี้, แก้ไข, และแจกจ่ายซอฟแวร์คอมพิวเตอร์ต่างๆ และนอกจากนี้เรายังสนับสนุนความเป็นอิสระในเรื่องของการพูด, การพิมพ์ และการติดต่อสื่อสารทางอินเตอร์เน็ตด้วย

วิวัฒนาการของระบบปฏิบัติการ
รุ่นที่ 0 (The Zeroth genaration) ยังไม่มีระบบปฏิบัติการ (ค.ศ. 1940)
    ระบบคอมพิวเตอร์ในยุคแรก ๆ เช่น ENIAC นั้นยังไม่มีระบบปฏิบัติการ การสั่งงานจะทำด้วยมือทุก ขั้นตอน เริ่มแรกโปรแกรมเมอร์จะโหลดโปรแกรมจาก tape กระดาษ หรือบัตรเจาะรูเข้าสู่หน่วยความจำของเครื่อง โดยการกดปุ่มจาก console จากนั้นก็สั่งให้เริ่มทำงานโดยกดปุ่มเช่นกัน ในขณะที่โปรแกรมกำลังทำงานโปรแกรมเมอร์หรือโอเปอร์เรเตอร์จะต้องคอยดูอยู่ตลอดเวลา หากเกิด error ขึ้น จะต้องหยุดการทำงานและจำค่าของรีจิสเตอร์ และแก้ไขโปรแกรมโดยตรงจาก console output จะถูกบันทึกลงใน tape กระดาษหรือบัตรเจาะรู


รุ่นที่ 1 (the first generation) ระบบประมวลผลแบบกลุ่ม (ค.ศ. 1950)
        ก่อนที่จะเริ่มมีการพัฒนาระบบปฏิบัติการขึ้นมา การใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์นั้น ต้องสูญเสียเวลามากในช่วงที่งาน (Job)หนึ่งเสร็จสิ้นลงและเริ่มต้นรันงานต่อไป
        ถ้าเรามีงานหลายๆ งานรอที่จะให้คอมพิวเตอร์รัน เราก็จะต้องเสียเวลาเป็นอันมาก และนอกจากนี้เราต้องทำงานเช่นนี้ซ้ำอยู่หลายครั้ง



รุ่นที่ 1 (the first generation) ระบบประมวลผลแบบกลุ่ม (ค.ศ. 1950)
        ก่อนที่จะเริ่มมีการพัฒนาระบบปฏิบัติการขึ้นมา การใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์นั้น ต้องสูญเสียเวลามากในช่วงที่งาน (Job)หนึ่งเสร็จสิ้นลงและเริ่มต้นรันงานต่อไป
        ถ้าเรามีงานหลายๆ งานรอที่จะให้คอมพิวเตอร์รัน เราก็จะต้องเสียเวลาเป็นอันมาก และนอกจากนี้เราต้องทำงานเช่นนี้ซ้ำอยู่หลายครั้ง



รุ่นที่ 2 (the second generaiton) ระบบมัลติโปรแกรมมิ่ง (ค.ศ. 1960)
        ในยุคนี้ OS สามารถที่จะทำงานในลักษณะมัลติโปรแกรมมิ่ง(Multiprogramming) และเป็นจุดเริ่มต้นของระบบมัลติโปรเซสซิ่ง (Multiprocessing)
    ระบบมัลติโปรแกรมมิ่ง มีการเก็บโปรแกรมหลาย ๆ โปรแกรมเข้าไว้ในหน่วยความจำพร้อมกัน มีการใช้ทรัพยากรร่วมกัน เช่นให้โปรแกรมผลัดเปลี่ยนกันเข้าใช้ CPU ที่ละโปรแกรมในช่วงเวลาสั้น ๆ จึงทำให้หลาย ๆ โปรแกรมได้ประมวลผลในเวลาที่ใกล้เคียงกัน    
        แต่ก็ยังมีปัญหาผู้ใช้ไม่สามารถนำโปรแกรมประยุกต์จากเครื่องที่ต่างกันมาใช้ร่วมกันได้ เนื่องจากระบบปฏิบัติการของแต่ละเครื่องมีความแตกต่างกัน ผู้ใช้จะต้องเสียเวลาในการเขียนโปรแกรมใหม่เมื่อเปลี่ยนเครื่อง

ระบบ real-time ก็เกิดขึ้นในช่วงนี้เช่นกัน
ระบบ real-time

คือระบบที่สามารถให้การตอบสนองจากระบบอย่างทันทีทันใดเมื่อรับอินพุตเข้าไปแล้ว
ในทางอุดมคติ real-time คือระบบที่ไม่เสียเวลาในการประมวลผลหรือเวลาในการประมวลผลเป็นศูนย์ แต่ในทางปฏิบัติเราไม่สามารถผลิตเครื่องคอมพิวเตอร์ในลักษณะนี้ได้ ทำได้แค่ลดเวลาการประมวลผลของเครื่องให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้
ส่วนมากจะนำไปใช้ในการควบคุมกระบวนการต่างๆ ในงานอุตสาหกรรม


รุ่นที่ 3 (the third generation) ระบบปฏิบัติการเอนกประสงค์ (กลาง ค.ศ. 1960 ถึงกลาง ค.ศ. 1970)
OS ในยุคนี้ถูกออกแบบมาให้สามารถใช้ได้กับคอมพิวเตอร์หลาย ๆ แบบในรุ่นเดียวกัน และใช้ได้กับงาน หลาย ๆ ประเภท ไม่ได้เจาะจงลงไปที่ลักษณะงานใดงานหนึ่ง ทั้งนี้เป็นเพราะเหตุผลทางการค้า ผู้เขียนโปรแกรม OS ต้องการยอดขายให้ได้มาก จึงเขียน OS ให้ใครก็ได้สามารถใช้ OS ของเขาได้ และใช้กับงานหลายประเภทได้ ส่งผลให้ OS มีขนาดใหญ่ ทำงานช้าลงและแพงขึ้น

รุ่นที่ 4 (the forth generation) ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (กลาง ค.ศ. 1970 ถึงปัจจุบัน)
เทคนิคการเขียนโปรกรม OS ในรุ่นที่ 3 เริ่มถึงจุดอิ่มตัว ในยุคนี้ OS จึงถูกพัฒนาให้มีความสามารถในงานพิเศษอื่นๆ เพิ่มขึ้น ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (computer network) ระบบนี้ผู้ใช้สามารถใช้งานคอมพิวเตอร์ติดต่อกับเครื่องคอมพิวเตอร์ ของผู้อื่นโดยผ่านทางเทอร์มินอลชนิดต่าง ๆ ซึ่งต้องเชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายและกระจายไปตามจุดต่าง ๆ เช่นภายในอาคารสำนักงานภายในจังหวัด และทั่วโลก ซึ่งทำให้สามารถใช้สารสนเทศร่วมกันได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงระยะทาง และชนิดของคอมพิวเตอร์ 
แนวคิดเรื่องเครื่องคอมพิวเตอร์เสมือน (virtual machine) เริ่มนำมาใช้งานอย่างกว้างขวาง
เครื่องคอมพิวเตอร์เสมือน หมายถึง การแปลงเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เรามีอยู่ให้กลายเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องอื่น โดยที่ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องยุ่งยากเกี่ยวกับรายละเอียดทางด้านฮาร์ดแวร์ของระบบคอมพิวเตอร์อีกต่อไป
ผู้ใช้สามารถสร้างเครื่องคอมพิวเตอร์เสมือนได้โดยการใช้ OS
ระบบเครื่องคอมพิวเตอร์เสมือนจะมี OS อีกตัวหนึ่งติดต่อกับผู้ใช้ และทำงานอยู่บน OS ของเครื่อง ซึ่ง OS ตัวที่ 2 นี้จะเป็น OS ที่ถูกสร้างขึ้นให้เหมือนกับ OS ของเครื่องอื่นที่เราต้องการให้ระบบคอมพิวเตอร์ของเราเป็น
ดังนั้นคอมพิวเตอร์และ OS ตัวแรกจะเปรียบเสมือนเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องใหม่ในสายตาของผู้ใช้ 

ระบบที่ไม่มีระบบปฏิบัติการ (Non operating system)
ยุคแรก ๆ คอมพิวเตอร์มีแต่เครื่องเปล่า ๆ ผู้ใช้ต้องเขียนโปรแกรมสั่งงาน ตรวจสอบการทำงาน ป้อนข้อมูล และควบคุมเอง ทำให้ระยะแรกใช้กันอยู่ในวงจำกัด  
2. ระบบงานแบ็ตซ์ (Batch system) 
ในอดีต คอมพิวเตอร์จะทำงานได้ครั้งละ 1 งาน การสั่งงานคอมพิวเตอร์ให้มีมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น ทำได้โดยการรวมงานที่คล้ายกัน เป็นกลุ่ม แล้วส่งให้เครื่อง ประมวลผล โดยผู้ทำหน้าที่รวมงาน จะรับงานจากนักพัฒนาโปรแกรม มาจัดเรียงตามความสำคัญ และตามลักษณะของโปรแกรม จัดเป็นกลุ่มงาน แล้วส่งให้ คอมพิวเตอร์ประมวลผล 
3. ระบบบัฟเฟอร์ (Buffering system) 
การทำงานเพื่อขยายขีดความสามารถของระบบ ทำให้หน่วยรับ-แสดงผลสามารถทำงานไปพร้อม ๆ กับการประมวลผลของซีพียู ในขณะที่ประมวลผลคำสั่งที่ ถูกโหลดเข้าซีพียูนั้น จะมีการโหลดข้อมูลเข้าไปเก็บในหน่วยความจำก่อน เมื่อถึงเวลาประมวลผลจะสามารถทำงานได้ทันที และโหลดข้อมูลต่อไปเข้ามาแทนที่ หน่วยความจำที่ทำหน้าที่เก็บข้อมูลที่เตรียมพร้อมนี้เรียกว่า บัฟเฟอร์ (buffer) 
4. ระบบสพูลลิ่ง (Spooling) 
Simultaneous Peripheral Operating On-Line เป็น multiprogramming พื้นฐาน ทำให้ซีพียูทำงานเต็มประสิทธิภาพ เพราะทำให้สามารถทำงานได้ 2 งานพร้อมกัน งานแรกคือประมวลผลในส่วนของซีพียู งานที่สองคือการรับ-แสดงผลข้อมูล ซึ่งต่างกับ buffer ที่ซีพียู และหน่วยรับ-แสดงผลทำงานร่วมกัน และ spooling มี job pool ทำให้สามารถเลือกการประมวลผลตามลำดับก่อนหลังได้ โดยคำนึงถึง priority เป็นสำคัญ 
5. ระบบมัลติโปรแกรมมิ่ง (Multiprogramming) 
การทำงานที่โหลดโปรแกรมไปไว้ในหน่วยความจำหลัก และพร้อมที่จะประมวลผลได้ทันที ระบบปฏิบัติการจะเลือกงานเข้าไปประมวลผลจนกว่าจะหยุดคอยงานบางอย่าง ในช่วงที่หยุดรอจะดึงงานเข้าไปประมวลผลต่อทันที ทำให้มีการใช้ซีพียูได้อย่างมีประสิทธิภาพ 
6. ระบบแบ่งเวลา (Time-sharing หรือ Multitasking) 
เป็นการขยายระบบ multiprogramming ทำให้สามารถสับเปลี่ยนงานของคนหลาย ๆ คนเข้าสู่ซีพียู ซึ่งการสับเปลี่ยนที่ทำด้วยความเร็วสูงจะทำให้ผู้ใช้รู้สึกเหมือน ครอบครองซีพียูอยู่เพียงผู้เดียว 
7. ระบบเรียลไทม์ (Real-time system) 
จุดประสงค์อีกอย่างหนึ่งของ ระบบปฏิบัติการ คือ ระบบเวลาจริง(Real-time system) หมายถึงการตอบสนองทันที เช่นระบบ Sensor ที่ส่งข้อมูลให้คอมพิวเตอร์ เครื่องมือทดลองทางวิทยาศาสตร์ ระบบภาพทางการแพทย์ ระบบควบคุมในโรงงานอุตสาหกรรม ระบบหัวฉีดในรถยนต์ ระบบควบคุมการยิง ระบบแขนกล และ เครื่องใช้ในครัวเรือนทั้งหมด
Real-time แบ่งได้ 2 ระบบ
1. Hard real-time system เป็นระบบที่ถูกรับรองว่าจะได้รับการตอบสนองตรงเวลา และหยุดรอไม่ได้
 2. Soft real-time system เป็นระบบ less restrictive type ที่สามารถรอให้งานอื่นทำให้เสร็จก่อนได้ 
8. ระบบคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล (Personal Computer System) 
ปัจจุบันคอมพิวเตอร์ราคาถูกลง มีการพัฒนาอุปกรณ์ต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ทั้งแป้นพิมพ์ เมาส์ จอภาพ หน่วยความจำ หน่วยประมวลผล เป็นต้น และการใช้คอมพิวเตอร์ ไม่ได้มุ่งเน้นด้านธุรกิจเพียงอย่างเดียว แต่นำไปใช้เพื่อความบันเทิงในบ้านมากขึ้น และกลายเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกองค์กร นอกจากคอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะ(Desktop) ยังมีคอมพิวเตอร์แบบสมุดโน๊ต(Notebook) และคอมพิวเตอร์มือถือ (PDA) ปัจจุบันมีโทรศัพท์มือถือที่ทำงานแบบคอมพิวเตอร์ และใช้ดูหนังฟังเพลง หรือประมวลผล ต่าง ๆ ที่ซับซ้อนมากขึ้น ใกล้เคียงกับคอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะยิ่งขึ้น 
9. ระบบเวอร์ชวลแมชีน (Virtual machine) 
เครื่องเสมือน ทำให้ผู้ใช้คอมพิวเตอร์รู้สึกเหมือนใช้คอมพิวเตอร์เพียงคนเดียว แต่ในความเป็นจริงจะบริการให้ผู้ใช้หลายคน ในหลายโปรเซส โดยใช้เทคโนโลยี Virtual machine บริการงานต่าง ๆ ให้กับผู้ใช้ได้หลาย ๆ งานพร้อมกัน 
10. ระบบมัลติโปรเซสเซอร์ (Multiprocessor system) 
Symmetric-multiprocessing การประมวลผลแบบสมมาตร หมายถึงการประมวลผลหลายโปรเซสเซอร์ที่ไม่มีโปรเซสเซอร์ตัวใดรับโหลดมากกว่าตัวอื่น
Asymmetric-multiprocessing การประมวลผลแบบไม่สมมาตร หมายถึงการมีโปรเซสเซอร์ตัวหนึ่งเป็นตัวควบคุม และแบ่งงานแต่ละแบบให้โปรเซสเซอร์แต่ละตัวตามความเหมาะสม 
11. ระบบแบบกระจาย (Distributed system) 
ระบบเครือข่าย ที่กระจายหน้าที่ กระจายการเป็นศูนย์บริการ และเชื่อมต่อเข้าด้วยกัน ด้วยจุดประสงค์ต่าง ๆ กัน ในมาตรฐาน TCP/IP ซึ่งเป็นที่ยอมรับทั้ง Windows, Linux, Unix และ Mac ทำให้ทั้งหมดสามารถสื่อสารกันรู้เรื่องเข้าใจ และก่อให้เกิดประโยชน์ร่วมกัน


อ้างอิง
http://www.suwanpaiboon.ac.th/wbi/page/t20.htm
http://www.suwanpaiboon.ac.th/wbi/page/t16.htm
http://www.suwanpaiboon.ac.th/wbi/page/t10.htm
https://goo.gl/ncvoxD
http://www.thaigoodview.com/library/contest2552/type2/tech03/32/p5-2.html
www.chantra.sru.aac.th









แบบฝึกหัด

1. ระบบปฏิบัติการคืออะไร แตกต่างจากโปรแกรมประยุกต์อย่างไร

ตอบ  - ระบบปฏิบัติการ คือ ระบบคอมพิวเตอร์แทบทุกระบบถือว่าระบบปฏิบัติการเป็นส่วนสำคัญของ
ระบบ โดยทั่วไประบบคอมพิวเตอร์แบ่งเป็น 4 ส่วน คือ ฮาร์ดแวร์ ระบบปฏิบัติการ โปรแกรมประยุกต์
 และผู้ใช้
      - โปรแกรมประยุกต์ คือ ซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมที่ถูกเขียนขึ้นเพื่อการทำงานเฉพาะอย่างที่เราต้องการเช่น งานส่วนตัว งานทางด้านธุรกิจ งานทางด้านวิทยาศาสตร์ โปรแกรมทางธุรกิจ เกมส์ต่างๆ
 ระบบฐานข้อมูล ตลอดจนตัวแปลภาษา เราอาจเรียกโปรแกรมประเภทนี้ว่า User's Program โปรแกรม
ประเภทนี้โดยส่วนใหญ่มักใช้ภาษาระดับสูงในการพัฒนา


2. ทำไมเครื่องคอมพิวเตอร์จึงจำเป็นต้องมีระบบปฏิบัติการ

ตอบ ทำไมเครื่องคอมพิวเตอร์จึงจำเป็นต้องมีระบบปฏิบัติการ ตอบก็เพราะว่าระบบปฏิบัติการเป็นส่วน
หนึ่งที่ช่วยให้อุปกรณ์แต่ละชิ้นส่วนสามารถทำงานร่วมกันได้ เนื่องจากคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่ง ไม่ได้ผลิต
มาจากคนๆ เดียว แต่ชิ้นส่วนแต่ละชิ้นมาจากคนจำนวนมากที่เป็นผู้ผลิตขึ้นมา ฉะนั้นจะให้อุปกรณ์เหล่า
นี้ทำงานร่วมกันได้ ก็ต้องมีตัวกลางในการประสานงาน อย่าว่าแต่คอมพิวเตอร์เลย ขนาดคนเรา ไม่ว่าจะ
ทำอะไรก็ตามยังต้องมีคนกลาง หรือผู้ประสานงาน ไม่อย่างนั้นแล้ว งานจะไม่มีทางไปในทิศทางเดียวกัน
 สรุปง่ายๆ หากไม่มีระบบปฏิบัติการ คอมพิวเตอร์ก็จะไม่สามารถทำงานได้ เพราะอุปกรณ์แต่ละชิ้นไม่
รู้จักกัน
 

3. อะไรบ้างที่เป็นส่วนสนับสนุนปัจจัยให้นักพัฒนาระบบปฏิบัติการพัฒนารุ่นใหม่เพิ่มเติมขึ้นมาเรื่อยๆ

ตอบ OS ต่าง ๆ ก็ต้อง Upgrade ตัวเองไปเรื่อย ๆ ทั้งด้วยเหตุผลจากความปลอดภัยจากการโจมตีต่างๆ

หรือให้รองรับกับอุปกรณ์ใหม่ ๆ เทคโนโลยี่ใหม่ ๆ

 
4.ยกตัวอย่างโปรแกรม เป็นระบบปฏิบัติการ และโปรแกรมประยุกต์

ตอบ os วินโดว์ ลีนุกซ์ ไอโอเอส แมค โปรแกรม เวิร์ด เอ็กเซลล์ โฟโต้ชอป นีโร 


5.สามารถแยกแยะออกได้ระหว่างระบบปฏิบัติการสำหรับเครื่องเดียว และระบบปฏิบัติการเครือข่าย มีระบบการทำงานเป็นอย่างไร

ตอบ ระบบปฏิบัติการสำหรับเครื่องเดียว เป็นระบบปฏิบัติการที่มุ่งเน้นและให้บริการสำหรับผู้ใช้เพียงคน
เดียว (เจ้าของเครื่องนั้น ๆ) นิยมใช้สำหรับเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ประมวลผลและทำงานแบบทั่วไป ระบบ
ปฤบัติการเครือข่ายระบบปฏิบัติการเครือข่ายที่นิยมใช้กันมา คือ Netware ของผลิตภัณฑ์ของ บริษัท 
 Novell ที่ได้แนะนำ สู่ตลาดในปี ค.ศ. 1983 เป็นระบบปฏิบัติการของ ระบบเครือข่ายท้องถิ่น

6.แสดงความคิดเห็นว่า แนวโน้มการพัฒนาระบบปฏิบัติการจะเป็นอย่างไร 
ตอบ  ลีนุกซ์กำลังเป็นระบบปฏิบัติการที่มีแนวโน้มว่าจะได้รับความนิยมและใช้งานเพิ่มขึ้นเป็นระบบที่
 
บริษัทผู้ผลิตคอมพิวเตอร์หลายบริษัทอาทิ IBM, Compaq, Shape Electricsเสนอเป็นตัวเลือกแก่ลูกค้าที่

ซื้อเครื่องคอมพิวเตอร์ นอกจากนั้นผู้ที่สนใจติดตามข่าวในเรื่องการนำลีนุกซ์ไปใช้งาน จะได้รับข่าวสาร

มากมายของบริษัทขนาดใหญ่หลายบริษัทที่หันมาใช้ลีนุกซ์อย่างจริงจัง
 



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น